วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2555
มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง
1.ความหมายและชนิดของมอเตอร์ไฟฟ้า

มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์ที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในโรงงานต่างเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ควบคุมเครื่องจักรกลต่างๆในงานอุตสาหกรรมมอเตอร์มีหลายแบบหลายชนิดที่ใช้ให้เหมาะสมกับงานดังนั้นเราจึงต้องทราบถึงความหมายและชนิดของมอเตอร์ไฟฟ้าตลอดคุณสมบัติการใช้งานของมอเตอร์แต่ละชนิดเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้งานของมอเตอร์นั้นๆและสามารถเลือกใช้งานให้เหมาะสมกับงานออกแบบระบบประปาหมู่บ้านหรืองานอื่นที่เกี่ยวข้องได้
1.1ความหมายของมอเตอร์และการจำแนกชนิดของมอเตอร์
มอเตอร์ไฟฟ้า (MOTOR) หมายถึงเป็นเครื่องกลไฟฟ้าชนิดหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงพลังงาน
ไฟฟ้ามาเป็นพลังงานกล มอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้พลังงานไฟฟ้าเปลี่ยนเป็นพลังงานกลมีทั้งพลังงานไฟฟ้ากระแสสลับและพลังงานไฟฟ้ากระแสตรง
1.2ชนิดของมอเตอร์ไฟฟ้า
มอเตอร์ไฟฟ้าแบ่งออกตามการใช้ของกระแสไฟฟ้าได้ 2 ชนิดดังนี้
1.2.1 มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ (Alternating Current Motor) หรือเรียกว่าเอ.ซี มอเตอร์ (A.C. MOTOR) การแบ่งชนิดของมอเตอร์ไฟฟ้าสลับแบ่งออกได้ดังนี้
มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับแบ่งออกเป็น3 ชนิดได้แก่
1.มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับชนิด 1 เฟส หรือเรียกว่าซิงเกิลเฟสมอเตอร์ (A.C. Sing Phase)
- สปลิทเฟส มอเตอร์( Split-Phase motor)
- คาปาซิเตอร ์มอเตอร์ (Capacitor motor)
- รีพัลชั่นมอเตอร์ (Repulsion-type motor)
- ยูนิเวอร์แวซลมอเตอร์ (Universal motor)
- เช็ดเดดโพล มอเตอร์ (Shaded-pole motor)
2.มอเตอร์ไฟฟ้าสลับชนิด 2 เฟสหรือเรียกว่าทูเฟสมอเตอร์ (A.C.Two phas Motor)
3.มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับชนิด 3 เฟสหรือเรียกว่าทีเฟสมอเตอร์ (A.C. Three phase Motor)
1.2.2.มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง (Direct Current Motor ) หรือเรียกว่าดี.ซี มอเอตร์ (D.C. MOTOR) การแบ่งชนิดของมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรงแบ่งออกได้ดังนี้
มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรงแบ่งออกเป็น 3 ชนิดได้แก่
1.มอเตอร์แบบอนุกรมหรือเรียกว่าซีรีส์มอเตอร์ (Series Motor)
2.มอเตอร์แบบอนุขนานหรือเรียกว่าชันท์มอเตอร์ (Shunt Motor)
3.มอเตอร์ไฟฟ้าแบบผสมหรือเรียกว่าคอมเปาวด์มอเตอร์ (Compound Motor)
2.มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง
มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง เป็นต้นกำลังขับเคลื่อนที่สำคัญอย่างหนึ่งในโรงงานอุตสาหกรรมเพราะมีคุณสมบัติที่ดีเด่นในด้านการปรับความเร็วได้ตั้งแต่ความเร็วต่ำสุดจนถึงสูงสุด นิยมใช้กันมากในโรงงานอุตสาหกรรม เช่นโรงงานทอผ้า โรงงานเส้นใยโพลีเอสเตอร์ โรงงานถลุงโลหะหรือให้ เป็นต้นกำลังในการขับเคลื่อนรถไฟฟ้า เป็นต้นในการศึกษาเกี่ยวกับมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรงจึงควรรู้จัก อุปกรณ์ต่าง ๆ ของมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรงและเข้าใจถึงหลักการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรงแบบต่าง ๆ
2.1 ส่วนประกอบของมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง
มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรงที่ส่วนประกอบที่สำคัญ 2 ส่วนดังนี้
1 ส่วนที่อยู่กับที่หรือที่เรียกว่าสเตเตอร์ (Stator) ประกอบด้วย
1) เฟรมหรือโยค (Frame Or Yoke) เป็นโครงภายนอกทำหน้าที่เป็นทางเดินของเส้นแรงแม่เหล็กจากขั้ว
เหนื้อไปขั้วใต้ให้ครบวงจรและยึดส่วนประกอบอื่นๆให้แข็งแรงทำด้วยเหล็กหล่อหรือเหล็กแผ่นหนาม้วนเป็นรูปทรงกระบอก
ขั้วแม่เหล็ก (Pole) ประกอบด้วย 2 ส่วนคือแกนขั้วแม่เหล็กและขดลวด
ภาพขดลวดพันอยู่รอบขั้วแม่เหล็ก
ส่วนแรกแกนขั้ว (Pole Core) ทำด้วยแผ่นเหล็กบางๆ กั้นด้วยฉนวนประกอบกันเป็นแท่งยึดติดกับเฟรม ส่วนปลายที่ทำเป็นรูปโค้งนั้นเพื่อโค้งรับรูปกลมของตัวโรเตอร์เรียกว่าขั้วแม่เหล็ก (Pole Shoes) มีวัตถุประสงค์ให้ขั้วแม่เหล็กและโรเตอร์ใกล้ชิดกันมากที่สุดเพื่อให้เกิดช่องอากาศน้อยที่สุด เพื่อให้เกิดช่องอากาศน้อยที่สุดจะมีผลให้เส้นแรงแม่เหล็กจากขั้วแม่เหล็กจากขั้วแม่เหล็กผ่านไปยังโรเตอร์มากที่สุดแล้วทำให้เกิดแรงบิดหรือกำลังบิดของโรเตอร์มากเป็นการทำให้มอเตอร์ ์์มีกำลังหมุน (Torque)
ลักษณะของขั้วแม่เหล็ก
ส่วนที่สอง ขดลวดสนามแม่เหล็ก (Field Coil) จะพันอยู่รอบๆแกนขั้วแม่เหล็กขดลวดนี้ทำหน้าที่รับกระแสจากภายนอกเพื่อสร้างเส้นแรงแม่เหล็กให้เกิดขึ้น และเส้นแรงแม่เหล็กนี้จะเกิดการหักล้างและเสริมกันกับสนามแม่เหล็กของอาเมเจอร์ทำให้เกิดแรงบิดขึ้น
2 ตัวหมุน (Rotor) ตัวหมุนหรือเรียกว่าโรเตอร์ตัวหมุนนี้ทำให้เกิดกำลังงานมีแกนวางอยู่ในตลับลูกปืน (Ball Bearing) ซึ่งประกอบอยู่ในแผ่นปิดหัวท้าย (End Plate) ของมอเตอร์
ตัวโรเตอร์ประกอบด้วย 4 ส่วนด้วยกัน คือ
1.แกนเพลา (Shaft)

3.คอมมิวเตอร์ (Commutator)
4. ขอลวดอาร์มาเจอร์ (Armature Widing)
1.แกนเพลา (Shaft) เป็นตัวสำหรับยืดคอมมิวเตเตอร์ และยึดแกนเหล็กอาร์มาเจอร์ (Armature Croe) ประกอบเป็นตัวโรเตอร์แกนเพลานี้จะวางอยู่บนแบริ่ง เพื่อบังคับให้หมุนอยู่ในแนวนิ่งไม่มีการสั่นสะเทือนได้
2. แกนเหล็กอาร์มาเจอร์ (Armature Core) ทำด้วยแผ่นเหล็กบางอาบฉนวน (Laminated Sheet Steel) เป็นที่สำหรับพันขดลวดอาร์มาเจอร์ซึ่งสร้างแรงบิด (Torque)
3. คอมมิวเตเตอร์ (Commutator) ทำด้วยทองแดงออกแบบเป็นซี่แต่ละซี่มีฉนวนไมก้า (mica) คั่นระหว่างซี่ของคอมมิวเตเตอร์ ส่วนหัวซี่ของคอมมิวเตเตอร์ จะมีร่องสำหรับใส่ปลายสาย ของขดลวดอาร์มาเจอร์ ตัวคอมมิวเตเตอร์นี้อัดแน่นติดกับแกนเพลา เป็นรูปกลมทรงกระบอก มีหน้าที่สัมผัสกับแปรงถ่าน (Carbon Brushes) เพื่อรับกระแสจากสายป้อนเข้าไปยัง ขดลวดอาร์มาเจอร์เพื่อสร้างเส้นแรงแม่เหล็กอีกส่วนหนึ่งให้เกิดการหักล้างและเสริมกันกับเส้นแรงแม่เหล็กอีกส่วน ซึ่งเกิดจากขดลวดขั้วแม่เหล็ก ดังกล่าวมาแล้วเรียกว่าปฏิกิริยามอเตอร์ (Motor action)
4. ขดลวดอาร์มาเจอร์ (Armature Winding) เป็นขดลวดพันอยู่ในร่องสลอท (Slot) ของแกนอาร์มาเจอร์ ขนาดของลวดจะเล็กหรือใหญ่และจำนวนรอบจะมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับการออกแบบของตัวโรเตอร์ชนิดนั้นๆ เพื่อที่จะให้เหมาะสมกับงานต่างๆ ที่ต้องการ ควรศึกษาต่อไปในเรื่องการพันอาร์มาเจอร์ (Armature Winding) ในโอกาสต่อไป
แปรงถ่าน (Brushes)
แปรงถ่าน
ซองแปรงถ่าน
ทำด้วยคาร์บอนมีรูปร่างเป็นแท่งสี่เหลี่ยมผืนผ้าุ่ในซองแปรงมีสปิงกดอยู่ด้านบนเพื่อให้ถ่านนี้สัมผัสกับซี่คอมมิวเตเตอร์ตลอดเวลาเพื่อรับกระแส และส่งกระแสไฟฟ้าระหว่างขดลวดอาร์มาเจอร์ กับวงจรไฟฟ้าจากภายนอก คือถ้าเป็นมอเตอร์กระแสไฟฟ้าตรงจะทำหน้าที่รับกระแสจากภายนอกเข้าไปยังคอมมิวเตเตอร ์ให้ลวดอาร์มาเจอร์เกดแรงบิดทำให้มอเตอร์หมุนได้
2.2 หลักการของมอเตอร์กระแสไฟฟ้าตรง (Motor Action)
หลักการของมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง (Motor Action) เมื่อเป็นแรงดันกระแสไฟฟ้าตรงเข้าไปในมอเตอร์ ส่วนหนึ่งจะ แปรงถ่านผ่านคอมมิวเตเตอร์เข้าไปในขดลวดอาร์มาเจอร์สร้างสนามแม่เหล็กขึ้น และกระแสไฟฟ้าอีกส่วนหนึ่งจะไหลเข้าไปในขดลวดสนามแม่เหล็ก (Field coil) สร้างขั้วเหนือ-ใต้ขึ้น จะเกิดสนามแม่เหล็ก 2 สนาม ในขณะเดียวกัน ตามคุณสมบัติของเส้นแรง แม่เหล็ก จะไม่ตัดกันทิศทางตรงข้ามจะหักล้างกัน และทิศทางเดียวจะเสริมแรงกัน ทำให้เกิดแรงบิดในตัวอาร์มาเจอร์ ซึ่งวางแกนเพลาและแกนเพลานี้ สวมอยู่กับตลับลุกปืนของมอเตอร์ ทำให้อาร์มาเจอร์นี้หมุนได้ ขณะที่ตัวอาร์มาเจอร์ทำหน้าที่หมุนได้นี้เรียกว่า โรเตอร์ (Rotor) ซึ่งหมายความว่าตัวหมุน การที่อำนาจเส้นแรงแม่เหล็กทั้งสองมีปฏิกิริยาต่อกัน ทำให้ขดลวดอาร์มาเจอร์ หรือโรเตอร์หมุนไปนั้นเป็นไปตามกฎซ้ายของเฟลมมิ่ง (Fleming’left hand rule)
ที่มา : http://edu.e-tech.ac.th/
วงจรไฟฟ้า
วงจรไฟฟ้า
วงจรไฟฟ้า หมายถึง ทางเดินของกระแสไฟฟ้าซึ่งไหลมาจากแหล่งกำเนิดผ่านตัวนำ และเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือโหลด แล้วไหลกลับไปยัง แหล่งกำเนิดเดิม
วงจรไฟฟ้าประกอบด้วยส่วนที่สำคัญ 3 ส่วน คือ
1. แหล่งกำเนิดไฟฟ้า หมายถึง แหล่งจ่ายแรงดันไฟฟ้าไปยังวงจรไฟฟ้า เช่นแบตเตอรี่
2. ตัวนำไฟฟ้า หมายถึง สายไฟฟ้าหรือสื่อที่จะเป็นตัวนำให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านไปยังเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งต่อระหว่างแหล่งกำเนิดกับเครื่องใช้ไฟฟ้า
3. เครื่องใช้ไฟฟ้า หมายถึง เครื่องใช้ที่สามารถเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าให้เป็นพลังงานรูปอื่น ซึ่งจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า โหลด สวิตซ์ไฟฟ้านั้นเป็นส่วนหนึ่งของวงจรไฟฟ้า มีหน้าที่ในการควบคุมการทำงานให้มีความสะดวกและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ถ้าไม่มีสวิตซ์ไฟฟ้าก็จะไม่มีผลต่อการทำงานวงจรไฟฟ้าใดๆ เลย
การต่อวงจรไฟฟ้าสามารถแบ่งวิธีการต่อได้ 3 แบบ คือ
1. วงจรอนุกรม เป็นการนำเอาเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือโหลดหลายๆ อันมาต่อเรียงกันไปเหมือนลูกโซ่ กล่าวคือ ปลายของเครื่องใช้ไฟฟ้าตัวที่ 1 นำไปต่อกับต้นของเครื่องใช้ไฟฟ้าตัวที่ 2 และต่อเรียงกันไปเรื่อยๆ จนหมด แล้วนำไปต่อเข้ากับแหล่งกำเนิด การต่อวงจรแบบอนุกรมจะมีทางเดินของกระแสไฟฟ้าได้ทางเดียวเท่านั้น ถ้าเกิดเครื่องใช้ไฟฟ้าตัวใดตัวหนึ่งเปิดวงจรหรือขาด จะทำให้วงจรทั้งหมดไม่ทำงาน
คุณสมบัติที่สำคัญของวงจรอนุกรม
1. กระแสไฟฟ้าจะไหลผ่านเท่ากันตลอดวงจร
2. แรงดันไฟฟ้าตกคร่อมส่วนต่างๆ ของวงจร เมื่อนำมารวมกันแล้วจะเท่ากับแรงดันไฟฟ้าที่แหล่งกำเนิด
3. ความต้านทานรวมของวงจร จะมีค่าเท่ากับผลรวมของความต้านทานแต่ละตัวในวงจรรวมกัน
2. วงจรขนาน เป็นการนำเอาต้นของเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกๆ ตัวมาต่อรวมกัน และต่อเข้ากับแหล่งกำเนิดที่จุดหนึ่ง นำปลายสายของทุกๆ ตัวมาต่อรวมกันและนำไปต่อกับแหล่งกำเนิดอีกจุดหนึ่งที่เหลือ ซึ่งเมื่อเครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละอันต่อเรียบร้อยแล้วจะกลายเป็นวงจรย่อย กระแสไฟฟ้าที่ไหลจะสามารถไหลได้หลายทางขึ้นอยู่กับตัวของเครื่องใช้ไฟฟ้าที่นำมาต่อขนานกัน ถ้าเกิดในวงจรมีเครื่องใช้ไฟฟ้าตัวหนึ่งขาดหรือเปิดวงจร เครื่องใช้ไฟฟ้าที่เหลือก็ยังสามารถทำงานได้ ในบ้านเรือนที่อยู่อาศัยปัจจุบันจะเป็นการต่อวงจรแบบนี้ทั้งสิ้น
คุณสมบัติที่สำคัญของวงจรขนาน
1. กระแสไฟฟ้ารวมของวงจรขนาน จะมีค่าเท่ากับกระแสไฟฟ้าย่อยที่ไหลในแต่ละสาขาของวงจรรวมกัน
2. แรงดันไฟฟ้าตกคร่อมส่วนต่างๆ ของวงจร จะเท่ากับแรงดันไฟฟ้าที่แหล่งกำเนิด
3. ความต้านทานรวมของวงจร จะมีค่าน้อยกว่าความต้านทานตัวที่น้อยที่สุดที่ต่ออยู่ในวงจร
3. วงจรผสม เป็นวงจรที่นำเอาวิธีการต่อแบบอนุกรม และวิธีการต่อแบบขนานมารวมให้เป็นวงจรเดียวกัน ซึ่งสามารถแบ่งตามลักษณะของการต่อได้ 2 ลักษณะดังนี้
3.1 วงจรผสมแบบอนุกรม-ขนาน เป็นการนำเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือโหลดไปต่อกันอย่างอนุกรมก่อน แล้วจึงนำไปต่อกันแบบขนานอีกครั้งหนึ่ง
3.2 วงจรผสมแบบขนาน-อนุกรม เป็นการนำเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือโหลดไปต่อกันอย่างขนานก่อน แล้วจึงนำไปต่อกันแบบอนุกรมอีกครั้งหนึ่ง
คุณสมบัติที่สำคัญของวงจรผสม
เป็นการนำเอาคุณสมบัติของวงจรอนุกรม และคุณสมบัติของวงจรขนานมารวมกัน ซึ่งหมายความว่าถ้าตำแหน่งที่มีการต่อแบบอนุกรม ก็เอาคุณสมบัติ ของวงจรการต่ออนุกรมมาพิจารณา ตำแหน่งใดที่มีการต่อแบบขนาน ก็เอาคุณสมบัติของวงจรการต่อขนานมาพิจารณาไปทีละขั้นตอน
ความแตกต่างของวงจรเปิด-วงจรปิด
1. วงจรเปิด คือวงจรที่กระแสไฟฟ้าไม่สามารถไหลได้ครบวงจร ซึ่งเป็นผลทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต่ออยู่ในวงจรไม่สามารถจ่ายพลังงานออกมาได้ สาเหตุของวงจรเปิดอาจเกิดจากสายหลุด สายขาด สายหลวม สวิตซ์ไม่ต่อวงจร หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าชำรุด เป็นต้น
2. วงจรปิด คือวงจรที่กระแสไฟฟ้าไหลได้ครบวงจร ทำให้โหลดหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต่ออยู่ในวงจรนั้นๆ ทำงาน
ความหมายทางไฟฟ้า
1. แรงดันไฟฟ้า หรือแรงเคลื่อนไฟฟ้า หมายถึงแรงที่ดันให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านความต้านทานของวงจรไปได้ ใช้แทนด้วยตัว E มีหน่วยวัดเป็น โวลท์ (V)
2. กระแสไฟฟ้า หมายถึงการเคลื่อนที่ของอิเล็คตรอนอิสระจากอะตอมหนึ่งไปยังอะตอมหนึ่ง จะไหลมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความต้านทานของวงจร ใช้แทนด้วยตัว I มีหน่วยวัดเป็นแอมแปร์ (A)
3. ความต้านทานไฟฟ้า หมายถึงตัวที่ต้านการไหลของกระแสไฟฟ้าให้ไหลในจำนวนจำกัด ซึ่ง อยู่ในรูปของเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิด เช่น แผ่นลวดความร้อนของเตารีด หม้อหุงข้าว หลอดไฟฟ้า เป็นต้น เครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ต้านการไหลของกระแสไฟฟ้าให้ไหลในจำนวนจำกัด ใช้แทนด้วยตัว R มีหน่วยวัดเป็นโอห์ม (W )
4. กำลังงานไฟฟ้า หมายถึงอัตราการเปลี่ยนแปลงพลังงาน หรืออัตราการทำงาน ได้จากผลคูณของแรงดันไฟฟ้ากับกระแสไฟฟ้า ใช้แทนด้วยตัว P มีหน่วยวัดเป็นวัตต์ (W)
5. พลังงานไฟฟ้า หมายถึงกำลังไฟฟ้าที่นำไปใช้ในระยะเวลาหนึ่ง มีหน่วยวัดเป็นวัตต์ชั่วโมง (Wh) หรือยูนิต ใช้แทนด้วยตัว W
6. ไฟฟ้าลัดวงจรหรือไฟฟ้าช็อต หมายถึงการที่ไฟฟ้าไหลผ่านจากสายไฟฟ้าเส้นหนึ่งไปยังอีกเส้นหนึ่ง โดยไม่ผ่านเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือโหลดใดๆ สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากฉนวนของสายไฟฟ้าชำรุด และมาสัมผัสกันจึงมีความร้อนสูง มีประกายไฟ ทำให้เกิดเพลิงไหม้ได้ถ้าบริเวณนั้นมีวัสดุไวไฟ
7. ไฟฟ้าดูด หมายถึงการที่มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านร่างกาย ซึ่งจะทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้อแข็งเกร็ง หัวใจทำงานผิดจังหวะ เต้นอ่อนลงจนหยุดเต้น และเสียชีวิตในที่สุด แต่อย่างไรก็ตามความรุนแรงของอันตรายจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณของกระแส เวลาและเส้นทางที่กระแสไฟฟ้าไหลผ่าน
8. ไฟฟ้ารั่ว หมายถึงสายไฟฟ้าเส้นที่มีไฟจะไหลไปสู่ส่วนที่เป็นโลหะของเครื่องใช้ไฟฟ้าถ้าไม่มีสายดินก็จะทำให้ได้รับอันตรายแต่ถ้ามีสายดินก็จะทำให้กระแสไฟฟ้าที่ไหลอยู่นั้นไหลลงดินแทน
9. ไฟฟ้าเกิน หมายถึงการใช้ไฟฟ้าเกินกว่าขนาดของอุปกรณ์ตัดตอนทางไฟฟ้า ทำให้มีการปลดวงจรไฟฟ้า อาการนี้สังเกตได้คือจะเกิดหลังจากที่ได้ เปิดใช้ไฟฟ้าสักครู่ หรืออาจนานหลายนาทีจึงจะตรวจสอบเจอ
ที่มา : http://www.school.net.th/library/create-web/10000/technology/10000-7138.html
การทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง
<iframe width="420" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/Xi7o8cMPI0E" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
การป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่า
ป้องกัน!!!อันตรายจากฟ้าผ่า
"ไม่ควรอยู่ในที่โล่งแจ้ง รวมทั้งหลีกเลี่ยงการสวมใส่เครื่องประดับและใช้สื่อไฟฟ้าที่จะเป็นสาเหตุของการเกิดฟ้าผ่าได้”...เป็นคำเตือนของทางกรมอุตุนิยมวิทยา กับสภาวะอากาศระยะนี้ที่แปรปรวน
พายุฤดูร้อน-พายุฝนฟ้าคะนอง...ใช่จะมีภัยแค่ลมพายุ
“ภัยฟ้าผ่า” ก็มองข้ามมิได้...และนับวันจะเกิดบ่อย !!
ปัจจุบันภัยฟ้าผ่าเป็นอีกหนึ่งภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นบ่อยมาก จากเดิมในปี 2548 มีรายงานว่าในแต่ละปีมีเด็กและผู้ใหญ่ทั่วโลก “เสียชีวิตเพราะถูกฟ้า ผ่า” มากกว่า 1,000 ราย เมื่อเร็ว ๆ นี้มีข้อมูลออกมาว่าฟ้าผ่าเกิดขึ้นทุกวัน ๆ ละกว่า 8 ล้านครั้งทั่วโลก มีคนบาดเจ็บและเสียชีวิตรวมแล้วกว่า 1,500-5,000 คนต่อปี ขณะที่ศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บ ในเด็ก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่ายุคนี้ เด็กไทยอายุน้อยกว่า 17 ปี เสียชีวิตจากการถูกฟ้าผ่าเฉลี่ยประมาณ 20 คนต่อปี ยังไม่รวมส่วนที่เป็นผู้ใหญ่ที่อยู่นอกการสำรวจ
“ฟ้าผ่า” เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ “เกิดจากความไม่สมดุลของอุณหภูมิในชั้นบรรยากาศโลก” ซึ่งมีทั้งฟ้าผ่าขึ้น และฟ้าผ่าลง โดยฟ้าผ่าลงที่มนุษย์คุ้นเคยมากกว่าและทำให้เกิดการบาดเจ็บ - เสียชีวิตอยู่เป็นประจำนั้น กระบวนการเริ่มจากก้อนเมฆมีความเข้มของสนามไฟฟ้าสูงถึงค่าวิกฤติ เกิดการแตกตัวของอนุภาคโมเลกุลในอากาศ ขยายตัวออกเป็นตัวนำวิ่งลงสู่พื้นโลก เกิด การถ่ายเทประจุลงสู่พื้นโลกเป็นลำฟ้าผ่า
วิธีป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่า เวลาที่เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง ที่มีการแนะนำกันไว้ก็มีอาทิ... หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง เช่น กลางสนามหญ้า สนามกีฬา ชายหาด ลานกว้าง ทุ่งนา ฯลฯ, หลีกเลี่ยงการอยู่ใต้-อยู่ใกล้ต้นไม้สูง เสาไฟฟ้า เสาสูง รั้ว กำแพง โดยเฉพาะที่มีโลหะเป็นส่วนประกอบ, หลีกเลี่ยงการมีสื่อไฟฟ้าติดตัว เช่น สร้อย แหวน กำไล นาฬิกา ฯลฯ ที่มีโลหะนำไฟฟ้า ควรถอดเก็บไว้ไกลตัวชั่วคราว, หลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์มือถือ-การใช้โทรศัพท์สาธารณะที่อยู่กลางแจ้ง เพราะดึงดูดสายฟ้าได้
ผู้ที่ถูกฟ้าผ่าส่วนใหญ่จะเสียชีวิตในที่เกิดเหตุทันที หรือถ้าดวงแข็งแบบสุด ๆ แล้วยังไงก็จะได้รับบาดเจ็บรุนแรง เพราะร่างกายจะถูกกระแสไฟฟ้ามากกว่า 200,000 แอมแปร์ช็อต จึงไม่ควรมองข้ามคำแนะนำ
เมื่อเกิดฝนกระหน่ำฟ้าคะนอง หากเป็นไปได้ควรหลบเข้าบ้าน อาคารต่าง ๆ ที่มีการติดสายล่อฟ้า ส่วนสิ่งปลูกสร้างเล็ก ๆ กลางไร่นาที่โล่งแจ้งนั้น ที่ผ่านมามีข่าวฟ้าผ่าจนคนตายเป็นประจำ...โปรดระวัง !! อย่างไรก็ตาม แม้จะอยู่ในบ้านก็ยังมีข้อควรระวัง เช่น ไม่ควรไปเกาะหรืออยู่ใกล้หน้าต่าง โดยเฉพาะถ้ามีส่วนประกอบเป็นโลหะ, ไม่ควรเปิดหรือใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ โดยไม่จำเป็น !! เพราะหากฟ้าผ่าใส่บ้านกระแสไฟฟ้าอาจไหลผ่านเครื่องไฟฟ้ามาทำอันตรายได้ ซึ่งกรณีนี้ก็รวมถึงเครื่องทำน้ำอุ่น หรือมือถือที่เสียบชาร์จแบตเตอรี่อยู่
กรณีอยู่ในรถที่กำลังวิ่งหรือจอดขณะฝนฟ้าคะนอง ควรปิดกระจกรถทุกบาน และหากเกิดแจ๊กพอตฟ้าผ่าใส่รถขึ้นมา คำแนะนำคืออย่าตกใจ ตั้งสติให้มั่น ซึ่งโดยทั่วไปกระแสไฟฟ้าจากฟ้าที่ผ่าใส่รถจะวิ่งไปตามโลหะตัวถังรอบ นอกรถแล้วลงสู่พื้นดินไป อย่าลงจากรถวิ่งหนีเมื่อฟ้าผ่ารถ อย่ารีบซิ่ง จะยิ่งเสี่ยงตาย !!
ทั้งนี้ “ภัยฟ้าผ่า” คุกคามคนไทยรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างในปี 2551 นี้ยังไม่ทันเข้าสู่ฤดูฝนปกติ ก็มีข่าวคนถูกฟ้าผ่าเสียชีวิตไปหลายศพแล้ว เช่น 3 ศพที่เป็นหญิง ที่ถูกฟ้าผ่าเสียชีวิตพร้อมกัน-ที่เดียวกัน เมื่อ 15 เม.ย. ที่ ต.บ้านเม็ง อ.หนองเรือ จ.ขอนแก่น, วันที่ 27 เม.ย. เด็กชายวัย 12 ขวบรายหนึ่งถูกฟ้าผ่าเสียชีวิตใกล้รถมอเตอร์ไซค์ที่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี นี่ยังไม่รวมสัตว์เลี้ยง เช่น วัว ที่ปีนี้ก็ถูกฟ้าผ่าตายไปแล้วหลายสิบตัว
รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยภัยธรรมชาติ มหาวิทยาลัยรังสิต ระบุว่า ...ข้อสังเกตที่กำลังเป็นที่สนใจ ที่ว่าทำไม “ฟ้าผ่าคนตาย” ถึงเกิดขึ้นบ่อยในปัจจุบันนั้น อาจจะมีสาเหตุมาจากปัจจัยกระตุ้นหลาย ๆ สิ่ง อาทิ ภาวะโลกร้อน, การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินมากขึ้น รวมถึง พฤติกรรมมนุษย์ที่เสี่ยง ต่อการถูกฟ้าผ่ามากขึ้น เช่น ใช้โทรศัพท์มือถือขณะฝนฟ้าคะนอง ใส่เครื่องประดับที่มีโลหะนำกระแสไฟฟ้า เป็นต้น
สำหรับกรณีเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพฯ ที่ก็เกิดฟ้าผ่าบ่อยขึ้น อาจเกิดจากความเปลี่ยนแปลงเรื่องการใช้ที่ดินในปัจจุบันเป็นหลัก พื้นที่ที่เป็นต้นไม้น้อยลง ทำให้ขาดตัวดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และฝุ่นละอองที่เกิดขึ้นจากปริมาณรถยนต์บนท้องถนน จนมีผลทำให้อุณหภูมิพื้นผิวสูงขึ้น จนทำให้เกิดการจับกลุ่มรวมตัวของเมฆฝนมากขึ้น ซึ่งเมื่อมีฝนฟ้าคะนองโดยอุณหภูมิไม่สมดุลเพิ่มขึ้น โอกาสเกิดฟ้าผ่าก็มีบ่อยขึ้น
“วัสดุคอนกรีตที่ใช้ในการก่อสร้าง และป้ายโฆษณาที่มีอยู่มากมาย ซึ่งมีส่วนประกอบหลักจากโลหะและคอนกรีต ก็เป็นวัสดุที่เป็นตัวนำประจุไฟฟ้าหรือล่อฟ้าผ่าได้เช่นเดียวกัน ซึ่งเมื่อเกิดฝนฟ้าคะนองก็มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดฟ้าผ่า ใครไปยืนอยู่ใกล้ ๆ ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอันตราย” ...รศ.ดร. เสรี ระบุ พร้อมทั้งเตือนด้วยว่า... “ฟ้าผ่า” นั้นไม่สามารถพยากรณ์ได้ว่าจะเกิดขึ้นที่ไหน ตรงจุดใด ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้สิ่งที่มีความเสี่ยงและการมีพฤติกรรมเสี่ยงที่จะเกิด-จะถูกฟ้าผ่า
ที่มา : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1088670
โรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวล
โรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวล
โรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวล
ชีวมวล (Biomass) คือ สารอินทรีย์ทุกรูปแบบที่เป็นแหล่งกักเก็บพลังงานจากธรรมชาติและสามารถนำมา ใช้ผลิตเป็นพลังงานได้ โดยไม่นับการกลายเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิลไปแล้ว โดยมากมาจาก กากหรือเศษวัสดุเหลือใช้จากการเกษตร หรือ กากจากกระบวนการผลิตทางอุตสาหกรรม เช่น แกลบ ฟางข้าว ชานอ้อย ใบและยอดอ้อย เศษไม้ เส้นใยและกะลาปาล์ม กากมันสำปะหลัง ซังข้าวโพด กาบและกะลามะพร้าว ส่าเหล้า ขยะมูลฝอย น้ำเสียจากโรงงาน หรือแม้กระทั่งมูลสัตว์ต่างๆ ฯลฯ
โรงไฟฟ้าชีวมวล คือโรงไฟฟ้าที่ใช้เศษวัสดุต่างๆที่เป็นชีวมวล เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า หรือ ผลิตไอน้ำ ซึ่งอาจเป็นวัสดุชนิดเดียวกันหรือหลายชนิดรวมกัน เช่น โรงน้ำตาลใช้กากอ้อยที่ได้จากการหีบอ้อยเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า โรงสีขนาดใหญ่ที่ใช้แกลบเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า การใช้ก๊าซชีวภาพ (Biogas) จากการหมักน้ำเสีย (ที่ได้มาจากกระบวนการผลิตทางอุตสาหกรรม)หรือมูลสัตว์(จากฟาร์มเลี้ยงสัตว์ )มาผลิตกระแสไฟฟ้า โดยมีหลักการทำงานในทำนองเดียวกับโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทั่วไป ขั้นตอนการผลิตไฟฟ้าจะเริ่มด้วยการสูบน้ำดิบจากแหล่งน้ำธรรมชาติ ซึ่งผ่านการกรองแล้วเข้าสู่เครื่องผลิตไอน้ำ ขณะที่ชีวมวลต่างๆถูกลำเลียงเข้าสู่เครื่องบดเพื่อบดให้ละเอียด ก่อนส่งไปเข้าเตาเผาเพื่อให้เกิดความร้อนในระดับสูง ความร้อนที่ได้จะช่วยให้น้ำในเครื่องผลิตไอน้ำกลายสภาพเป็นไอ ไอน้ำแรงดันสูงนี้ ทำหน้าที่หมุนกังหันของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าอีกที ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าขึ้น ไอน้ำที่ใช้ในการหมุนกังหันเครื่องกำเนิดไฟฟ้า จะผ่านกระบวนการควบแน่นให้กลับมาเป็นน้ำและนำมาใช้หมุนเวียนหลายครั้ง จนสุดท้ายจึงถูกปรับคุณภาพให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานซึ่งไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวด ล้อมแล้วปล่อยลงสู่บ่อพักน้ำขนาดใหญ่ เพื่อให้ระเหยหายไปเองตามธรรมชาติ
น้ำที่ผ่านกระบวนผลิตของโรงไฟฟ้าชีวมวล จึงไม่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ฝุ่นผงซึ่งเกิดจากขั้นตอนการเผาไหม้ชีวมวล ก็ไม่สร้างผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมเช่นเดียวกัน มันจะถูกดักจับด้วยเครื่องดักจับฝุ่นแบบไฟฟ้าสถิตแรงสูง จึงมั่นใจได้ว่าจะไม่มีฝุ่นและอองลอยออกไปสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อยู่ อาศัยละแวกนั้น ส่วนขี้เถาที่ได้จากการเผาชีวมวลยังสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อีกมากมาย เช่น ใช้ เป็นวัสดุปรับคุณภาพดิน ใช้ในอุตสาหกรรมซีเมนต์ หรืออุตสาหกรรมก่อสร้าง เป็นต้น หรือจะใช้วิธีฝังกลบก็ได้เช่นกัน
โดยเหตุที่ประเทศไทยทำการเกษตรอย่างกว้างขวางวัสดุเหลือใช้จากการเกษตร เช่น แกลบ ขี้เลื่อย ชานอ้อย กากมะพร้าว ฯ ซึ่งมีอยู่จำนวนมาก (เทียบได้น้ำมันดิบปีละไม่น้อยกว่า 6,500 ล้านลิตร) ก็ควรจะใช้เป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์ได้ในกรณีของโรงเลื่อย โรงสี โรงน้ำตาล ฯ ขนาดใหญ่ อาจจะยินยอมให้จ่ายพลังงานไฟฟ้าให้กับระบบไฟฟ้าของการไฟฟ้าต่างๆในประเทศใน ลักษณะของการผลิตร่วม (Co-generation) ซึ่งมีใช้อยู่แล้วหลายแห่งในต่างประเทศโดยวิธีดังกล่าวแล้วจะช่วยให้สามารถ ใช้ประโยชน์จากแหล่งพลังงานในประเทศสำหรับส่วนรวมได้มากยิ่งขึ้นทั้งนี้อาจ จะรวมถึงการใช้ไม้ฟืนจากโครงการปลูกไม้โตเร็วในพื้นที่นับล้านไร่ในกรณีที่ รัฐบาลจำเป็นต้องลดปริมาณการปลูกมันสำปะหลัง อ้อย ฯ เพื่อแก้ปัญหาระยะยาวทางด้านการตลาดของพืชทั้งสองชนิด อนึ่ง สำหรับผลิตผลจากชีวมวลในลักษณะอื่นที่ยังใช้เป็นเชื้อเพลิงได้ เช่น แอลกฮอล์ จากมันสำปะหลัง ก๊าซจากฟืน(Gasifier) ก๊าซจากการหมักเศษวัสดุเหลือจากการเกษตร(Bio Gas) ขยะ ฯ หากมีความคุ้มค่าในเชิงพาณิชย์ก็อาจนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับผลิตไฟฟ้า ได้เช่นกัน
ที่มา : http://region2.prd.go.th/ewt_news.php?nid=20096&filename=letgogreen
โรงไฟฟ้านิวเคลียรื
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์คืออะไร
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของประเทศญี่ปุ่น
“โรงไฟฟ้านิวเคลียร์” คือ โรงงานผลิต กระแสไฟฟ้าที่ใช้พลังงานความร้อนจากปฏิกิริยาแตกตัวทางนิวเคลียร์ (nuclear fission reaction) ทำให้น้ำกลายเป็นไอน้ำที่มีแรงดันสูง แล้วส่งไอน้ำไปหมุนกังหันไอน้ำ ซึ่งต่อกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้า เพื่อผลิตไฟฟ้า และส่งต่อไปยังผู้บริโภคต่อไป
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์มีหลักการผลิตไฟฟ้าคล้ายกับโรงไฟฟ้าพลังความร้อนทั่วไป กล่าวคือ จะใช้พลังงานความร้อนไปผลิตไอน้ำ แล้วส่งไอน้ำไปหมุนกังหันไอน้ำและ เครื่องกำเนิดไฟฟ้า เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า ออกมา แต่มีข้อแตกต่างกันคือ ต้นกำเนิดพลังงานความร้อนของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เกิดจากปฏิกิริยาแตกตัวของยูเรเนียม-๒๓๕ ในเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ ส่วนความร้อนจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนทั่วไปนั้นได้จากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิง ซึ่งได้แก่ ถ่านหินหรือลิกไนต์ ก๊าซธรรมชาติหรือน้ำมัน เมื่อเปรียบเทียบปริมาณเชื้อเพลิงที่ใช้สำหรับการ ผลิตไฟฟ้า พบว่า หากใช้ยูเรเนียมธรรมชาติ (ความเข้มข้นของยูเรเนียม-๒๓๕ ประมาณร้อยละ ๐.๗) จำนวน ๑ ตัน จะสามารถผลิตไฟฟ้าได้มากกว่า ๔๐ ล้านกิโลวัตต์/ชั่วโมง ในขณะที่ต้องใช้ถ่านหินถึง ๑๖,๐๐๐ ตัน หรือใช้น้ำมันถึง ๘๐,๐๐๐ บาร์เรล (ประมาณ ๑๓ ล้านลิตร) จึงจะผลิตไฟฟ้าได้เท่ากัน
การนำพลังงานนิวเคลียร์มาใช้เพื่อผลิต ไฟฟ้า เป็นความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาประมาณ ๕๐ ปีที่ผ่านมานี้เอง โดยใน พ.ศ. ๒๔๙๔ ได้มีการทดลอง เดินเครื่องปฏิกรณ์เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าเป็นครั้งแรกของโลกขึ้นที่สถานีทดลองพลังงานไอดาโฮ เพื่อจ่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่ เมืองอาร์โค มลรัฐไอดาโฮ ประเทศสหรัฐอเมริกา
การก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบปฏิกรณ์ความดันสูงในเชิงพาณิชย์ขนาด ๗๕ เมกะวัตต์ ได้เริ่มขึ้นที่ชิปปิงพอร์ต มลรัฐเพนซิลเวเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ใน พ.ศ. ๒๔๙๗ และได้จ่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่เมืองพิตต์สเบิร์ก ใน พ.ศ. ๒๕๐๐
ต่อมาใน พ.ศ. ๒๕๐๒ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เดรสเดน (แบบปฏิกรณ์น้ำเดือด) ได้เดินเครื่องจ่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่เมืองมอร์ริส มลรัฐอิลลินอยส์ หลังจากนั้น การก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั้ง ๒ แบบได้ขยายตัวขึ้น และแพร่หลายไปยังประเทศอื่นๆ รวมทั้งการพัฒนาเทคโนโลยีโรงไฟฟ้า นิวเคลียร์ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่า ๑,๐๐๐ เมกะวัตต์ และมีความปลอดภัยยิ่งขึ้น
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์มี่ส่วนประกอบที่สำคัญอะไรบ้าง
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์มีส่วนประกอบที่สำคัญ คือ
๑)อาคารปฏิกรณ์ ประกอบด้วย เครื่องปฏิกรณ์ เครื่องผลิตไอน้ำ เครื่องควบคุมความดัน ปั๊มน้ำระบายความร้อน อุปกรณ์อื่นๆ เช่น วัสดุกำบังรังสี ระบบควบคุมการเดินเครื่อง และระบบความปลอดภัยต่างๆ
๒)อาคารเสริมระบบปฏิกรณ์ ประกอบด้วย เครื่องมืออุปกรณ์สำหรับการเดินเครื่องปฏิกรณ์ อุปกรณ์ความปลอดภัย บ่อเก็บเชื้อเพลิงใช้แล้ว
๓)อาคารกังหันไอน้ำ ประกอบด้วย ชุดกังหันไอน้ำ เครื่องกำเนิดไฟฟ้าและอุปกรณ์ประกอบ
๔)สถานีไฟฟ้าแรงสูง ประกอบด้วย ระบบสายส่งไฟฟ้าแรงสูงและอุปกรณ์ประกอบ
๕)อาคารฝึกหัดเดินเครื่องโรงไฟฟ้า ประกอบด้วย แบบจำลองสำหรับฝึกหัดเดินเครื่องโรงไฟฟ้า ทั้งสภาวะปกติและฉุกเฉิน
๖)อาคารระบบคอมพิวเตอร์ ประกอบด้วย ระบบอุปกรณ์/ข้อมูลสำหรับ การเดินเครื่องโรงไฟฟ้า
๗)หม้อแปลงไฟฟ้า ประกอบด้วย หม้อแปลงไฟฟ้าหลัก และหม้อแปลงไฟฟ้าสำรองสำหรับการเดินเครื่อง
๘)อาคารอำนวยการ ประกอบด้วย สำนักงาน ห้องทำงานต่างๆ ห้องประชุม
๙)อาคารสำนักงานและฝึกอบรม ประกอบด้วย ห้องทำงาน ห้องฝึกอบรม ห้องประชุม ห้องปฏิบัติการทางเคมี ห้องอาหาร
๑๐)อาคารรักษาความปลอดภัย เป็นอาคารทางเข้าบริเวณโรงไฟฟ้า ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่และอุปกรณ์เครื่องมือของระบบรักษาความปลอดภัยต่างๆ
๑๑)อาคารโรงสูบน้ำ เป็นอาคารที่สูบน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติภายนอก เพื่อนำมาควบแน่นไอน้ำในระบบผลิตไอน้ำ ประกอบด้วย ชุดปั๊มน้ำ และอุปกรณ์ประกอบต่างๆ
๑๒)ส่วนประกอบอื่นๆ ได้แก่ ระบบสายส่งไฟฟ้าแรงสูง และหอระบายความร้อน (ถ้าไม่มีแหล่งน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่)
หลักการทำงานของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบ่งได้กี่แบบ
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบ่งการทำงานออก เป็น ๒ ส่วนใหญ่ๆ คือ
๑)ส่วนผลิตความร้อน ได้แก่ เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ ระบบน้ำระบายความร้อน และเครื่องผลิตไอน้ำ
๒)ส่วนผลิตกระแสไฟฟ้า ประกอบด้วย กังหันไอน้ำ และเครื่องกำเนิดไฟฟ้า โดยส่วนผลิตความร้อนจะส่งผ่านความร้อนให้กระบวนการผลิตไอน้ำ เพื่อนำไปใช้ผลิต ไฟฟ้าต่อไป
พิจารณาจากหลักการทำงาน อาจแบ่งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ออกได้เป็น ๓ แบบดังนี้
๑.โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบปฏิกรณ์ความดันสูง (Pressurized Water Reactor : PWR)
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบ PWR มีหลักการทำงานคือ เมื่อเครื่องปฏิกรณ์ทำงาน จะเกิดปฏิกิริยาแตกตัวกับเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ ทำให้เกิดความร้อน กัมมันตรังสี และผลิตผล จากการแตกตัว (fission product) หรือกาก เชื้อเพลิง โดยความร้อนจากเชื้อเพลิงจะถ่ายเทให้แก่น้ำระบายความร้อนวงจรที่ ๑ ซึ่งไหลเวียนตลอดเวลาด้วยปั๊มน้ำ โดยมีเครื่องควบคุมความดันคอยควบคุมความดันภายในระบบให้สูงและคงที่ ส่วนน้ำที่รับความร้อนจากเชื้อเพลิงจะไหลไปยังเครื่องผลิตไอน้ำ และถ่ายเทความร้อนให้ระบบน้ำวงจรที่ ๒ ซึ่งแยกเป็นอิสระจากกัน ทำให้น้ำเดือดกลายเป็นไอน้ำแรงดันสูง และถูกส่งผ่านไปหมุนกังหันไอน้ำ และเครื่องกำเนิด ไฟฟ้าซึ่งต่ออยู่กับกังหันไอน้ำ เมื่อเครื่องกำเนิดไฟฟ้าหมุน จะเกิดกระแสไฟฟ้าที่สามารถนำไปใช้งานได้ต่อไป ไอน้ำแรงดันสูงที่หมุนกังหันไอน้ำแล้ว จะมีแรงดันลดลง และถูกส่งผ่านมาที่เครื่องควบแน่นไอน้ำ เมื่อไอน้ำได้รับความเย็นจากวงจรน้ำเย็นจะกลั่นตัวเป็นน้ำและส่งกลับไปยังเครื่องผลิตไอน้ำด้วยปั๊มน้ำ เพื่อรับความร้อนจากระบบน้ำวงจรที่ ๑ วนเวียนเช่นนี้ตลอดการเดินเครื่องปฏิกรณ์
๒.โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบปฏิกรณ์น้ำเดือด (Boiling Water Reactor : BWR)
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบ BWR มีหลัก การทำงานคล้ายโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบ PWR แต่มีข้อแตกต่างกันที่ส่วนผลิตความร้อน เพราะความร้อนจากเชื้อเพลิงที่ถ่ายเทให้แก่วงจรน้ำระบายความร้อน จะทำให้น้ำเดือดกลายเป็นไอน้ำไปหมุนกังหันไอน้ำโดยตรง โดยไม่มีระบบน้ำวงจรที่ ๒ มารับความร้อน เหมือนแบบ PWR
๓.โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบปฏิกรณ์น้ำมวลหนัก (Pressurized Heavy Water Reactor : PHWR)
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบ PHWR หรือมีชื่อทางการค้าว่า แคนดู (CANDU : CANada Deuterium Uranium) มีหลักการทำงานเหมือนโรงไฟฟ้าแบบ PWR แต่แตกต่างกันที่เครื่องปฏิกรณ์จะวางในแนวนอน ใช้ยูเรเนียมธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง และใช้น้ำมวลหนัก (Heavy water : D2O) เป็นสาร ระบายความร้อนและสารหน่วงนิวตรอน
ที่มา : http://kanchanapisek.or.th/kp6/BOOK28/chapter7/t28-7-l1.htm
อันตรายจากการต่อสายไม่ถูกต้อง
อันตรายจากการต่อสายไม่ถูกต้อง
สภาพมือของผู้ประสบอุบัติเหตุโดนไฟช๊อต เนื่องจากสัมผัสเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีไฟรั่ว ซึ่งมีการต่อสาย N, L สลับกัน ที่มา: http://pantip.com/cafe/home/topic/R5261229/R5261229.html
เนื่องจากปัจจุบันมาตรฐานการติดตั้งทางไฟฟ้าได้กำหนดให้เต้ารับเต้าเสียบที่ใช้ในปัจจุบันต้องมีสายดินโดยมีการเดินสายไฟฟ้า 3 เส้น คือ สายเส้นที่มีไฟ (L) สายนิวทรัลหรือสายศูนย์ (N) และสายดิน (G) ซึ่งการต่อสายไฟฟ้าเหล่านี้เข้ากับขั้วของเต้ารับชนิดมีสายดินมีโอกาสเกิดความผิดพลาดได้ และไม่สามารถตรวจสอบได้จากสภาพภายนอก การต่อสายที่ไม่ถูกต้องนี้อาจเป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุจากไฟฟ้าดูดได้ เช่น ต่อสายนิวทรัลและสายเส้นที่มีไฟสลับกัน หรือ ต่อสายดินและสายเส้นที่มีไฟสลับกัน เป็นต้น เหตุการณ์เหล่านี้อาจทำให้ผู้ประสบเหตุได้รับอันตรายบาดเจ็บหรือเสียชีวิตได้
กรณีต่อสายถูกต้องครบถ้วน
กรณีที่มีการต่อสายเข้ากับขั้วเต้ารับอย่างถูกต้อง จะเห็นได้ว่าเมื่อนำเครื่องใช้ไฟฟ้ามาต่อใช้งาน ที่เปลือกนอกซึ่งเป็นโลหะของเครื่องใช้ไฟฟ้าจะมีแรงดันเป็น 0 (ศูนย์) โวลต์ เนื่องจากมีสายดินต่ออยู่ สามารถสัมผัสได้อย่างปลอดภัย
กรณีต่อสายดินและสายเส้นที่มีไฟสลับกัน
กรณีมีการต่อสายดินและสายเส้นที่มีไฟสลับกันที่เต้ารับ เมื่อนำเครื่องใช้ไฟฟ้ามาต่อใช้งานก็จะทำให้มีไฟรั่ว (มีแรงดัน 230 โวลต์) ที่เปลือกนอกซึ่งเป็นโลหะของเครื่องใช้ไฟฟ้าตลอดเวลา หากเครื่องป้องกันไม่ทำงานเมื่อมีคนสัมผัสจะทำให้ได้รับอันตรายบาดเจ็บหรือเสียชีวิตได้
กรณีต่อสายนิวทรัลและสายเส้นที่มีไฟสลับกัน
กรณีต่อสายนิวทรัลและสายเส้นที่มีไฟสลับกันที่เต้ารับ เมื่อนำชุดสายพ่วงมาต่อจะทำให้มีไฟปรากฏที่ขั้วของเต้ารับสายพ่วงตลอดเวลาขณะที่สวิตช์ปิดอยู่ (ไฟสวิตช์ดับ) ทำให้นึกว่าปลอดภัย แต่ความเป็นจริงจะมีไฟเข้ามาที่เต้ารับของสายพ่วงตลอด ทั้งนี้เนื่องจากสวิตช์ดังกล่าวตัดไฟเพียงขั้วเดียว จึงตัดไฟผิดขั้ว ซึ่งเป็นเรื่องอันตรายมาก เนื่องจากทั่วไปทุกคนเข้าใจว่าขณะสวิตช์ปิดอยู่สายพ่วงจะไม่มีไฟ
ตัวอย่างลักษณะโอกาสการต่อสายผิดไม่ครบหรือสลับกันที่เต้ารับ
ที่มา : https://sites.google.com/site/easycheckoutlet2011/khwam-ru-thi-khwr-thrab/xantray-cak-kar-tx-say-mi-thuk-tx
สภาพมือของผู้ประสบอุบัติเหตุโดนไฟช๊อต เนื่องจากสัมผัสเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีไฟรั่ว ซึ่งมีการต่อสาย N, L สลับกัน ที่มา: http://pantip.com/cafe/home/topic/R5261229/R5261229.html
เนื่องจากปัจจุบันมาตรฐานการติดตั้งทางไฟฟ้าได้กำหนดให้เต้ารับเต้าเสียบที่ใช้ในปัจจุบันต้องมีสายดินโดยมีการเดินสายไฟฟ้า 3 เส้น คือ สายเส้นที่มีไฟ (L) สายนิวทรัลหรือสายศูนย์ (N) และสายดิน (G) ซึ่งการต่อสายไฟฟ้าเหล่านี้เข้ากับขั้วของเต้ารับชนิดมีสายดินมีโอกาสเกิดความผิดพลาดได้ และไม่สามารถตรวจสอบได้จากสภาพภายนอก การต่อสายที่ไม่ถูกต้องนี้อาจเป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุจากไฟฟ้าดูดได้ เช่น ต่อสายนิวทรัลและสายเส้นที่มีไฟสลับกัน หรือ ต่อสายดินและสายเส้นที่มีไฟสลับกัน เป็นต้น เหตุการณ์เหล่านี้อาจทำให้ผู้ประสบเหตุได้รับอันตรายบาดเจ็บหรือเสียชีวิตได้
กรณีต่อสายถูกต้องครบถ้วน
กรณีที่มีการต่อสายเข้ากับขั้วเต้ารับอย่างถูกต้อง จะเห็นได้ว่าเมื่อนำเครื่องใช้ไฟฟ้ามาต่อใช้งาน ที่เปลือกนอกซึ่งเป็นโลหะของเครื่องใช้ไฟฟ้าจะมีแรงดันเป็น 0 (ศูนย์) โวลต์ เนื่องจากมีสายดินต่ออยู่ สามารถสัมผัสได้อย่างปลอดภัย
กรณีต่อสายดินและสายเส้นที่มีไฟสลับกัน
กรณีมีการต่อสายดินและสายเส้นที่มีไฟสลับกันที่เต้ารับ เมื่อนำเครื่องใช้ไฟฟ้ามาต่อใช้งานก็จะทำให้มีไฟรั่ว (มีแรงดัน 230 โวลต์) ที่เปลือกนอกซึ่งเป็นโลหะของเครื่องใช้ไฟฟ้าตลอดเวลา หากเครื่องป้องกันไม่ทำงานเมื่อมีคนสัมผัสจะทำให้ได้รับอันตรายบาดเจ็บหรือเสียชีวิตได้
กรณีต่อสายนิวทรัลและสายเส้นที่มีไฟสลับกัน
กรณีต่อสายนิวทรัลและสายเส้นที่มีไฟสลับกันที่เต้ารับ เมื่อนำชุดสายพ่วงมาต่อจะทำให้มีไฟปรากฏที่ขั้วของเต้ารับสายพ่วงตลอดเวลาขณะที่สวิตช์ปิดอยู่ (ไฟสวิตช์ดับ) ทำให้นึกว่าปลอดภัย แต่ความเป็นจริงจะมีไฟเข้ามาที่เต้ารับของสายพ่วงตลอด ทั้งนี้เนื่องจากสวิตช์ดังกล่าวตัดไฟเพียงขั้วเดียว จึงตัดไฟผิดขั้ว ซึ่งเป็นเรื่องอันตรายมาก เนื่องจากทั่วไปทุกคนเข้าใจว่าขณะสวิตช์ปิดอยู่สายพ่วงจะไม่มีไฟ
ตัวอย่างลักษณะโอกาสการต่อสายผิดไม่ครบหรือสลับกันที่เต้ารับ
ที่มา : https://sites.google.com/site/easycheckoutlet2011/khwam-ru-thi-khwr-thrab/xantray-cak-kar-tx-say-mi-thuk-tx
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)